ดาวน์โหลด 

สารคดีเฉลิมพระเกียรติ มรดกศิลป์ แผ่นดินไทย ตอนที่ 33 เรือเอกไชยเหินหาว และเรือเอกไชยหลาวทอง

เรือเอกไชยเหินหาว และเรือเอกไชยหลาวทอง เอกไชยเหินหาว แปลว่า ชัยชนะสูงสุดทะยอนสู่ท้องฟ้า ส่วนเอกไชยหลาวทอง แปลว่า เรือที่บรรจงสร้าง โดยการหลาวหรือเหลา เพื่อชัยชนะ หรือแปลว่า อาวุธ ทองคำที่นำชัยชนะ
ชื่อเรือทั้ง 2 ลำนี้ปรากฏอยู่ในสมุดภาพในขบวนพยุหยาตราทางชลมารคสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแห่งกรุงศรีอยุธยา เรือสองลำนี้ ถือเป็นเรือคู่ชัก ทำหน้าที่ลากเรือพระที่นั่งเช่น ชักลากเรือพระที่นั่งเมื่อน้ำเชี่ยวต้องการให้แล่นเร็วขึ้น
เรือทั้งสองลำสร้างขึ้นครั้งแรกในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 จนเมื่อปีพุทธศักราช 2487 สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ระเบิดจากอากาศยานที่ถล่มกรุงเทพมหานครได้สร้างความเสียหายให้กับเรือพระราชพิธีทั้ง 2 ลำนี้อย่างมาก
ในปีพุทธศักราช 2491 กรมศิลปากรได้ตัดหัวเรือและท้ายเรือเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์ จนเมื่อปีพุทธศักราช 2508 กองทัพเรือและกรมศิลปากรได้ร่วมกันบูรณะเรือทั้ง 2 ลำนี้ใหม่ โดยใช้หัวเรือเดิมมาประกอบ เรือทั้ง 2 ลำนี้
จะมีลักษณะใกล้เคียงกันคือหัวเรือเป็นรูปดั้งเชิดสูงงอนขึ้นไป ลงรักปิดทองเขียนลายรดน้ำรูปเหรา ซึ่งเป็นสัตว์หิมพานต์ในตำนานประเภทจระเข้ มีรูปร่างครึ่งนาคครึ่งมังกรหัวกับลำตัวเหมือนนาค แต่มีขาเหมือนมังกรตัวยาวคล้ายงู
ที่ส่วนหัวเรือเขียนลวดลายเป็นศิลปกรรมไทย ลายกนกเปลวประกอบเข้ากับลายเหราลักษณะกำลังคาบลูกแก้วซึ่งด้านในลูกแก้วเป็นลายประจำยามีดอก 4 กลีบเขียนเป็นรูปฟันแหลม มีลิ้น หนวด ที่ส่วนแก้มเป็นลายกนกเปลว
สามารถสังเกตความต่างของเรือทั้งสองลำได้จากรูปลักษณ์ของหัวเรือ คือ ถ้าเป็นเรือเอกไชยเหินหาวสีของดวงตาเหราจะเป็นสีทอง กระทงเรือมีแท่นรองฉัตร 7 ต้น ด้วยเพราะเคยเป็นเรือพระที่นั่งทรงมาก่อน
หากเป็นเรือเอกไชยหลาวทองดวงตาของเหราจะเป็นสีดำ ตัวเรือมีความยาว 27.50 เมตร ความกว้าง 1.97 เมตร ความลึกถึงท้องเรือ 0.60 เมตร มีกำลังพลลำละ 44 นาย ประกอบด้วย นายเรือ 2 นาย นายท้าย 2 นาย ฝีพาย 38 นาย
คนถือธงท้าย 1 นาย พลสัญญาณ 1 นาย

ไฟล์แนบ
  

จำนวนการเข้าชม 1,392 ครั้ง